top of page
รูปภาพนักเขียนVisan Leelarapin

ยางรถโฟล์คลิฟท์เมืองไทยที่คว้าใจลูกค้า TOP 10 โลก

อัปเดตเมื่อ 14 ส.ค. 2565


ผู้ผลิตยางล้อตันรถโฟล์คลิฟท์ ธุรกิจครอบครัว (Family Business) จากรุ่นพ่อส่งไม้ต่อให้ทายาทธุรกิจรุ่น 2 อย่าง คุณชวินทร์ ศรีโชติ เพื่อพาองค์กรขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยการค้นคว้าวิจัยนวัตกรรมใหม่ๆ จนนำไปสู่การคว้ารางวัลนวัตกรรม ‘ยางล้อตันประหยัดพลังงาน’ สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในประเทศไทย ที่เป็นแบรนด์ TOP 10 ของโลก




คุณชวินทร์ ศรีโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วี.เอส.อุตสาหกรรมยาง จำกัด ทายาทรุ่น 2 เล่าถึงที่มาขอธุรกิจว่า บริษัทก่อตั้งขึ้นโดยคุณพ่อตั้งแต่ปี 2537 โดยขณะนั้นเน้นการหล่อดอกยางตันและหล่อดอกยางลมให้ตลาดภายในประเทศ จนกระทั่งปี 2545 กิจการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงขยายโรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร โดยเริ่มผลิตยางตันใหม่สำหรับรถโฟล์คลิฟท์ ภายใต้แบรนด์ ‘KOMACHI’ ให้กับหลายแบรนด์ดัง เช่น โตโยต้า, ยูนิแคริเออร์ โคมัตสุ ลินเด ยุงค์ไฮริช และ มิซูบิชิ เป็นต้น โดยคุณชวินทร์ ศรีโชติ ได้เข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว (Family Business) ซึ่งได้เข้ามาปรับเปลี่ยนระบบบริหารงานแบบครอบครัวให้มีความทันสมัยขึ้น โดยคุณชวินทร์ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ที่มีคุณภาพและขยายตลาดไปยังลูกค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น




ทำไม? ยางรถโฟล์คลิฟท์ ต้องเป็นยางล้อตัน


คุณชวินทร์ ฉายภาพว่า ยางล้อตันส่วนใหญ่จะใช้ในงานโลจิสติกส์ ที่ต้องการยกของที่มีน้ำหนักมากๆ และต้องการความปลอดภัยสูง ยางล้อตันที่บริษัทผลิตเป็นยางที่ใช้สำหรับรถโฟล์คลิฟท์ รถที่ใช้ยกสินค้าเคลื่อนที่ไปยังจุดต่างๆ ในโรงงานส่วนใหญ่ใช้ใน Warehouse เหตุผลที่ต้องเป็นยางล้อตันเพราะว่าถ้าเป็นยางลมเหมือนยางรถยนต์ รถโฟล์คลิฟท์ที่วิ่งในพื้นที่การใช้งานในอุตสาหกรรมมีโอกาสจะเกิดการแตกรั่วได้ง่าย ซึ่งถ้ารถกำลังวิ่งอยู่แล้วเกิดการรั่วอาจส่งผลต่อความปลอดภัย เพราะการที่รถโยกเอียงในขณะที่ขนของน้ำหนักเป็นตันๆ เกิดโค่นล้มขึ้นมาจะเกิดอันตรายและความเสียหายต่อธุรกิจได้


“ในวงการรถโฟล์คลิฟท์ ส่วนใหญ่ประมาณ 95% ใช้ยางล้อตันทั้งหมด มีเพียง 5% เท่านั้นที่ต้องการความนุ่มนวลจริงๆ ถึงจะใช้ยางลมแต่ส่วนใหญ่จะเป็นยางล้อตัน”


คุณชวินทร์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ยางล้อตันจะมีโครงสร้างแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นไส้ ชั้นกลาง และชั้นดอก และจะมีลวดอยู่ข้างในขอบยาง คือโครงสร้างของยางตัน จะเป็นเนื้อยางเกือบทั้งหมด เรื่องยางสังเคราะห์ เป็นวัตถุดิบที่ช่วยเสริมคุณสมบัติ ด้านการสึกหรอของยาง ยางล้อตันต้องใช้คุณสมบัติตรงนั้นด้วย จึงมีการนำยางสังเคราะห์เข้ามาผสมด้วย แต่ก็จะอยู่ในส่วนของดอกยาง ที่เป็นหน้าสัมผัสกับผิวถนน ส่วนชั้นกลางจะเน้นเนื้อยางธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเราจะเน้นความแข็งแรง ส่วนด้านอกที่เป็นดอกยางเราต้องคำนึงว่า ทำอย่างไรให้ทนสึกได้มากที่สุด ตรงกับความต้องการของลูกค้า ที่ซื้อไปแล้ว ก็สามารถใช้ได้นานๆ


ส่วนยางล้อตันสีขาว จะ ต่างกันที่การใช้งาน ส่วนใหญ่ลูกค้า ที่ต้องการความสะอาดของพื้นที่ใช้งานเยอะๆ ก็จะยางสีขาว จะเรียกว่า ‘Non marking’ ที่แปลว่าไม่มีรอย คือ วิ่งแล้วไม่เป็นรอยที่พื้น โดยจะเปลี่ยนส่วนผสมจากคาร์บอนแบล็ค เป็น ซิลิก้าร์ โดยตัวคาร์บอนแบล็คจะเป็นช่วยเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างยาง เวลาผสมเข้าด้วยกัน แต่ก็จะมีสีดำ ทำให้เวลาใช้งานจะมีรอยยางล้อ ซึ่งสารซิลิการ์ ก็เพิ่มความแข็งแรงเหมือนกัน แต่เวลาเสียดสีจะไม่เป็นรอย ส่วนใหญ่ก็จะนิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ยา ที่ต้องการความสะอาดสูง



ค้นคว้าวิจัยจนได้รางวัล ‘ยางล้อตันประหยัดพลังงาน’


คุณชวินทร์ เผยถึงที่มาของการคว้ารางวัลจากงานวิจัยว่า เมื่อปี 2555 บริษัทได้ทำงานวิจัยเรื่อง ‘ยางล้อตันประหยัดพลังงาน’ ร่วมกับหลายหน่วยงานได้แก่ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ภายใต้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), ศูนย์วิจัยเทคโนโลยียาง ภายใต้มหาวิทยาลัยมหิดล โดยได้ทุนวิจัยจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งผลงานที่ได้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง สามารถนำงานวิจัยไปใช้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมยางล้อไทย สามารถสร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับประเทศจนทำให้งานวิจัยนี้ ได้รับรางวัลจาก สกว. และเป็น 1 ใน 16 งานวิจัยดีเด่นระดับประเทศ จากงานวิจัยทั้งหมด 1,600 งานวิจัยทั่วประเทศ


โดยการวิจัยนี้ได้พัฒนาสูตรยางคอมพาวด์ การปรับสูตรในการเติมสารเคมีเสริมแรงต่างๆ และการออกแบบเชิงวิศวกรรม ทำให้ยางล้อที่พัฒนาขึ้นมีค่าความต้านทานการหมุนต่ำ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงการประหยัดน้ำมัน และยังทนทานต่อการใช้งานได้มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการใช้งานให้คุ้มค่าที่สุด ที่สำคัญมีการทดสอบประสิทธิภาพกับแบรนด์ชั้นนำในตลาดโลก 10 แบรนด์ พบว่า มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานอยู่ในอันดับ 2 ขณะที่ราคาถูกกว่าเกือบ 50%


“สูตรยางของบริษัทมีการทำวิจัย ทำให้รถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้ยางของเราสามารถลดการใช้พลังงานลงถึง 23% ประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ใช้งานได้ถึงปีละประมาณ 6 หมื่นบาทต่อคันต่อปี เพราะใช้พลังงานตัวรถน้อยลงด้วยความที่เราพัฒนาสูตรยางให้สูญเสียพลังงานน้อย หมายความว่า ถ้ายางล้อจอดอยู่กับที่หากคุณสมบัติไม่ดีก็อาจจะเกิดการยุบตัวของยางได้ แล้วเวลาล้อขับเคลื่อนออกไปแทนที่ล้อรถมันจะหมุนได้เลย กลับต้องเสียพลังงานกว่าที่ล้อจะขับเคลื่อนได้ ซึ่งพลังงานที่สูญเสียไปตรงนี้ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า น้ำมัน หรือแก๊ส ที่เราใช้ แต่งานวิจัยของเราทำให้ยางมีความคงตัว ไม่ยุบตัวเมื่อจอด เมื่อล้อหมุนรถก็จะขยับไปได้เลย ทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น” คุณชวินทร์ อธิบาย



จากนั้นบริษัทจึงนำต้นแบบ ‘ยางล้อตันประหยัดพลังงาน’ ไปพัฒนาผลิตยางล้อรถฟอร์คลิฟท์ จำหน่ายในเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2556 ผลิตขายไปแล้วมากกว่า 120,000 เส้น ผลจากการที่คุณภาพยางล้อตันได้รับการยกระดับขึ้น ทำให้บริษัทได้รับการยอมรับให้เป็นซัพพลายเออร์ยางล้อตันรถฟอร์คลิฟท์ให้แก่บริษัท โตโยต้า ทูโชโฟร์คลิฟท์ ประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทขายรถฟอร์คลิฟท์อันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังได้รับมาตรฐาน มอก. 2668-2558 และขึ้นทะเบียนในบัญชีนวัตกรรมในปี 2560

“ผลจากการวิจัยทำให้สามารถขยายตลาดส่งออกได้เพิ่มขึ้น ยกระดับคุณภาพสินค้าให้มีมาตรฐานระดับสากล ซึ่งภายในระยะเวลาเพียงแค่ 8 เดือน สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 15%”




สร้างความเชื่อมั่นผลิตงานให้แบรนด์ TOP 10 ของโลกในตลาดประเทศไทย


คุณชวินทร์ บอกว่า ลูกค้าที่ใช้ยางล้อตันจะแบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ ผู้นำเข้ารถโฟล์คลิฟท์ เช่น โตโยต้า โคมัตสุ ในประเทศไทย มีโรงประกอบรถโฟล์คลิฟท์ แบรนด์ญี่ปุ่นยี่ห้อเดียวอยู่ที่ระยอง โดยลูกค้าที่นำเข้า อย่างโตโยต้า จะมี 2 ธุรกิจหลัก คือ ขายรถโฟล์คลิฟท์ กับอีกกลุ่มที่เป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของโตโยต้า คือกลุ่มเช่ารถ ซึ่งปัจจุบันโรงงานสมัยใหม่ หรือโรงงานใหญ่ๆ ส่วนมากจะเช่าเกือบทั้งหมด เพราะไม่ต้องการแบกรับภาระเรื่องการซ่อมบำรุง เพราะผู้ให้เช่าจะเป็นผู้ดูแลเรื่องยาง ซึ่งมีรถหลายพันคันในตลาดที่วิ่งขณะนี้


“ลูกค้ากลุ่มนี้คือกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ของเราซึ่งเป็น Top 10 ของประเทศ และเป็นแบรนด์ Top 10 ของโลกด้วย ดังนั้นถ้ายางเราสึกเร็ว มีปัญหาเยอะ ไม่มีประสิทธิภาพ ก็อาจส่งผลเสียต่อธุรกิจของลูกค้าได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการการันตีได้ว่า คุณภาพสินค้าของเราต้องดีมีมาตรฐาน นำมาสู่ความมั่นใจและไว้วางใจในการเลือกใช้ยางของเรา” คุณชวินทร์ กล่าว




ขณะที่กลุ่มที่ 2 จะเป็นบริษัทคนไทยที่ให้บริการซ่อมรถ ขายอะไหล่ หรือซื้อจากผู้นำเข้า ไปปล่อยเช่าต่ออีกที หรืออาจมีความสามารถในการบริหารจัดการที่ดีกว่า ก็สามารถซื้อรถมาปล่อยเช่าได้ ส่วนกลุ่มที่ 3 จะเป็นผู้ที่มีรถโฟล์คลิฟท์ เป็นของตัวเอง (End User) ซื้อยางไปใส่รถตัวเอง และกลุ่มที่ 4 จะเป็นการส่งออก ปัจจุบันบริษัทส่งออก 30% ส่วนอีก 70% เป็นการขายภายในประเทศ



ปัจจุบัน บริษัท วี.เอส.อุตสาหกรรมยาง จำกัด เติบโตอย่างต่อเนื่องและเป็นที่รู้จักทั้งในไทยและต่างประเทศ บริษัทมีการเพิ่มกำลังการผลิตยางตันได้ถึง 12,000 เส้นต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาและขยายผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น ยางตันใหม่ ยางตันหล่อดอก ยางตันติดเหล็ก ยางยูริเทน ยางรถขนสินค้าสนามบิน เป็นต้น ซึ่งจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ ‘KOMACHI’ เพื่อตอบโจทย์ทุกประเภทยางที่กลุ่มลูกค้าต้องการ เช่น บริษัทให้เช่ารถโฟล์คลิฟท์ บริษัทนำเข้ารถโฟล์คลิฟท์ ศูนย์กระจายสินค้า สนามบิน เป็นต้น นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังถูกใช้งานโดยโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้รถโฟล์คลิฟท์ในประเทศ และผู้จัดจำหน่ายรถโฟล์คลิฟท์ มากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก



ทำธุรกิจต้องดูแลสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป


ในเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม คุณชวินทร์ บอกว่า บริษัทให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น ยางเก่าบริษัทจะรับซื้อคืนซึ่งมีประมาณ 20 - 30% ที่หมุนกลับมาที่เราถือเป็นเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในการใช้ทรัพยากรในระบบการผลิตให้สามารถนํากลับมาใช้ใหม่ได้เพื่อใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าที่สุด ส่วนยางที่ชำรุดจนใช้งานไม่ได้แล้ว ก็ต้องส่งให้บริษัทที่รับกำจัดเพราะต้องใช้กระบวนการเผาด้วยพลังงานสูง โดยนำไปเผาที่โรงปูนจึงจะเป็นการกำจัดที่ถูกต้อง

ส่วนการที่จะผลิตของให้มีคุณภาพที่ดีต้องมีระบบการควบคุมคุณภาพมากำกับในกระบวนการผลิต เป็นเหตุผลที่เราพยายามนำมาตรฐานมาใช้ทำให้ตอนนี้เรามีมาตรฐานทั้ง 3 ระบบ คือ ISO9001,ISO45001, ISO14001 รวมถึงกรณี ‘โตโยต้า’ ได้ออกนโยบาย เกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต การใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเป็นนโยบายที่ให้บริษัทในเครือปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อตอบรับนโยบายดังกล่าว ซึ่งตนเองมองว่าในอนาคตอันใกล้จะขยายมาถึงซัพพลายเออร์ในไม่ช้า ดังนั้นผู้ประกอบการ SME ควรตื่นตัวและเร่งปรับตัวให้ทันเพื่อไม่ให้เสียโอกาสทางธุรกิจไป



ธุรกิจจะเติบโตอย่างยั่งยืน ต้องรู้จักค้นคว้าวิจัยและไม่หยุดพัฒนา


สำหรับแนวทางในการบริหารงานในอนาคต คุณชวินทร์ ให้มุมมองว่า ยังคงมุ่งมั่นลงทุนเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และแตกไลน์โปรดักส์ให้มีความหลากหลายที่มีความเกี่ยวข้องกันทั้งเชิงการผลิตและเชิงลูกค้า อย่างเช่น รถกระเช้าที่ใช้ทำงานในที่สูงตอนนี้ก็ค่อนข้างมีเพิ่มขึ้นมากในประเทศไทย รวมถึงการทำวิจัยโปรดักส์เพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ โดยเน้นประสิทธิภาพสูง แต่มีต้นทุนลดลง ซึ่งถือเป็นการบริหารต้นทุนไปในตัวด้วย



ส่งท้ายบทสัมภาษณ์ คุณชวินทร์ ได้ให้แง่คิดในการปรับตัวของธุรกิจว่า ผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์ มองออกว่าผลิตภัณฑ์ไหนที่สามารถแตกไลน์ได้อีก อย่างเช่น รถโฟล์คลิฟท์ มีขายอยู่ทั่วโลกทั้งยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น แม้ว่าในเมืองไทยรถโฟล์คลิฟท์ญี่ปุ่นจะครองตลาดเกือบ 100% แต่เราควรวางแผนแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพื่อรองรับลูกค้าจากประเทศเหล่านี้ด้วย


เพราะล้อยางตันของรถโฟล์คลิฟท์ในแต่ละแถบทวีปมีไซส์ที่แตกต่างกัน ถ้าเราไม่วางแผนเพื่อรองรับรถโฟล์คลิฟท์จากสหรัฐฯ และยุโรป คือเยอรมนีที่เข้ามาทำตลาดรถโฟล์คลิฟท์ให้เช่าในไทยในขณะนั้นซึ่ง Top Brand จากเยอรมันคือบริษัทรถโฟล์คลิฟท์อันดับหนึ่งของโลก หากเราคิดว่าผลิตยางไซส์เฉพาะรถญี่ปุ่นอย่างเดียวก็ขายได้แล้ว เราก็จะไม่ได้ลูกค้าที่เป็นตลาดอเมริกาและเยอรมนีอย่างทุกวันนี้


“ดังนั้นหากเราไม่มีความพร้อมอาจรับมือไม่ทันและเสียโอกาสไป ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงพยายามแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่รอให้มีออเดอร์จากลูกค้ามาก่อน เพราะเมื่อวันหนึ่งลูกค้าต้องการสินค้าของบริษัท เราก็พร้อมตอบสนองได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะทำให้เราประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนในอนาคต”

อ้างอิงจาก


ดู 379 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page